10 อันดับคลาสเรียนพิเศษยอดฮิตในประเทศญี่ปุ่น พร้อมค่าใช้จ่ายคร่าวๆ


สวัสดีค่ะ วันนี้แอดมินมีข้อมูลเกี่ยวกับอันดับคลาสเรียนพิเศษของเด็กๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่นนิยมให้ลูกๆ ไปเรียนกัน พร้อมกับค่าใช้จ่าย (เป็นเงินเยน ถ้าจะคำนวณเป็นเงินไทยแบบคร่าวๆให้หาร3) มาฝากกันค่ะ เผื่อว่าบ้านไหนกำลังมองหาคลาสเรียนพิเศษให้กับคุณลูกอยู่ จะได้มีข้อมูลในการตัดสินใจค่ะ

เริ่มให้ลูกไปเรียนพิเศษเมื่อไหร่ดีนะ??? 
คลาสเรียนพิเศษของประเทศญี่ปุ่นก็มีหลากหลายค่ะ บางอย่างก็รับเด็กๆ ตั้งแต่ยังไม่เต็มขวบ บางอย่างก็ต้องรอครบ 3-4 ขวบก่อนถึงจะเริ่มเรียนได้ ส่วนมากคุณพ่อคุณม่ชาวญี่ปุ่นจะเริ่มให้ลูกๆไปเรียนพิเศษตั้งแต่อายุประมาณ 3 ขวบค่ะ

ส่วนที่บ้านของแอดมินเคยให้ไปเรียนว่ายน้ำสำหรับเด็กเล็กๆ ตั้งแต่ยังไม่ครบขวบ ลูกก็สนุกดีนะคะ แต่เด็กๆ ป่วยบ่อยจนขาดเรียนเยอะ ก็เลยให้เลิกไปค่ะ แล้วก็มาเริ่มเรียนพิเศษใหม่ตอนช่วง 3 ขวบเช่นกัน

ข้อดีข้อเสียของการเรียนพิเศษมีอะไรบ้าง??? 
ลองมาดูกันสักนิดค่ะ ว่าข้อดีข้อเสียของการให้ลูกไปเรียนพิเศษมีอะไรบ้าง ก่อนที่ส่งลูกไปเข้าคลาสเรียนค่ะ

ข้อดี
1. ได้ความรู้มากขึ้น
2. ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
3. ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ นอกเหนือจากที่โรงเรียน
4. ได้เรียนรู้ในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สอนให้ไม่ได้

ในประเทศญี่ปุ่นมีคลาสเรียนพิเศษที่น่าสนใจเยอะเลยค่ะ ให้เลือกเรียนกันไม่ถูกเลยทีเดียว ทั้งในส่วนของวิชาการ ดนตรี กีฬา หรือ ทางด้านภาษา แถมเด็กๆยังได้รู้จักเพื่อนใหม่ด้วยนะคะ ยิ่งถ้าเราเลือกคลาสเรียนที่ไม่ไกลจากบ้าน ก็จะได้รู้จักเพื่อนใหม่ที่อยู่ละแวกเดียวกัน ก็จะได้เจอกันอีกในโรงเรียนประถม หรือมัธยม เพราะลูกเราจะต้องเข้าเรียนในโรงเรียนที่เขตกำหนดค่ะ (กรณีโรงเรียนรัฐบาล)

ข้อเสีย
1. ความเครียดเพิ่มขึ้น
2. เวลาในการเล่นของลูกลดลง
3. ค่าเรียนและค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
4. คุณพ่อคุณแม่ต้องมีเวลาตามรับส่งในกรณีที่ลูกยังเล็ก เดินทางไปเรียนเองไม่ได้

เหรียญมีสองด้านเสมอค่ะ เมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียเช่นกัน เช่นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น คุณพ่อคุณแม่ต้องมีเวลาติดตาม ตามรับส่งในเวลาเรียน หรือ กิจกรรมของคลาสเรียนบางอย่าง เช่น การพาไปซ้อมฮัปเปียวไก(การแสดงประจำปี) การแข่งขันระหว่างโรงเรียนอย่างฟุตบอล หรือ อย่างไปเรียนเทนนิสก็มีการแข่งขันเก็บคะแนนเพื่อชิงสิทธิ์เข้าแข่งในระดับสูงต่อไปค่ะ และแน่นอนเวลาเล่นของคุณลูกเองก็จะลดลงไปด้วย


สำหรับแอดมินแล้วคิดว่าการบาลานซ์ค่าใช้จ่าย และเวลา ของทั้งคุณลูกและคุณพ่อคุณแม่เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ค่ะ เพราะการเรียนพิเศษทุกอย่างนั้น ความต่อเนื่องคือสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้น ใจรักของคุณลูก ต้องมาพร้อมกับเวลา และ การสนับสนุนของคุณพ่อคุณแม่ด้วยค่ะ


ทีนี้เรามาลองดู 10 อันดับยอดฮิต ของคลาสเรียนที่คุณพ่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่นให้ลูกไปเรียนกันค่ะ

1. ว่ายน้ำ (スイミング Swimming)


ว่ายน้ำเป็นคลาสเรียนพิเศษที่ได้รับความนิยมที่สุดที่คุณพ่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่นจะให้ลูกไปเรียนค่ะ เพราะเป็นการปูพื้นฐานให้เด็กๆชินกับน้ำก่อนจะไปเรียนว่ายน้ำในชั้นประถมศึกษา แถมเด็กๆ ยังได้ออกกำลังกายอีกด้วย และค่าเทอมก็ไม่แพงมากค่ะ มีทั้งโรงเรียนที่สอนเด็กทารกว่ายน้ำที่เริ่มเรียนได้ตั้งแต่ 0 ขวบ และ โรงเรียนสอนว่ายน้ำทั่วไปที่เริ่มเรียนได้ตั้งแต่ 3 ขวบ

แอดมินให้ลูกสาวไปเรียนที่โรงเรียนสอนว่ายน้ำตอน 3 ขวบค่ะ ตอนนี้ก็ 6 ขวบแล้ว ก็ค่อยๆเรียนชิวๆไปตามความสามารถของลูกที่ไม่ค่อยถนัดกีฬาเท่าไหร่ ข้อดีคือไม่มีการบ้านค่ะ 😂

ค่าใช้จ่าย
ค่าแรกเข้า : 5000-10000 เยน
ค่าเรียนรายเดือน : 5000-7000 เยน
ค่าอุปกรณ์การเรียน : 5000 เยน

2. ภาษาอังกฤษ (英会話 Ei kaiwa)


คลาสภาษาอังกฤษก็ได้รับความนิยมเป็นอันดับ2 ค่ะ ผลจากการประกาศนโยบายปี2013 ที่จะปรับหลักสูตรภาษาอังกฤษในโรงเรียนประถมให้เข้มข้นมากขึ้น (All English 化) บวกกับความเป็น Global มากขึ้นของประเทศญี่ปุ่นค่ะ มีคลาสที่ให้เริ่มเรียนได้ตั้งแต่ 0 ขวบเช่นกันซึ่งคุณแม่ต้องเข้าไปเรียนด้วย หรือโดยทั่วไปก็เริ่มราวๆ 3-4 ขวบค่ะ

ลูกสาวของแอดมินเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ 3 ขวบ สัปดาห์ละ1 ชั่วโมง ก็ยังพูดประโยคยาวๆไม่ได้ค่ะ 555 แต่จะแยกแยะได้ว่านี่ภาษาอังกฤษนะ ตอบคำถามภาษาอังกฤษง่ายๆได้ และออกเสียงภาษาอังกฤษได้ดีค่ะ คลาสภาษาอังกฤษจะมีการบ้านเล็กน้อยให้กลับมาทำที่บ้านค่ะ

ค่าใช้จ่าย
ค่าแรกเข้า : 20000-30000 เยน
ค่าเรียนรายเดือน : 6000-10000 เยน
ค่าอุปกรณ์การเรียน : 10000 เยน

3. เปียโน (ピアノ Piano)


เปียโนเป็นคลาสดนตรีพื้นฐานที่ได้รับความนิยมมากๆ เช่นกันค่ะ เพราะคุณพ่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าการฝึกเล่นเปียโนจะทำให้เด็กๆได้ฝึกสมองทั้งซีกขวาและซีกซ้าย เด็กๆ จะได้ฝึกเรียนรู้การอ่านตัวโน้ต ฝึกความสามารถด้านดนตรี และฝึกให้กล้าแสดงออกอีกด้วย เด็กผู้หญิงมักจะชอบเรียนเปียโน และเรียนต่อได้นานค่ะ

ลูกสาวแอดมินก็เรียนเปียโนอยู่ด้วยเช่นกัน แต่เริ่มจากคลาสเรียนดนตรีร้องเพลงของเด็กๆผสมกับอิเล็กโทน ตั้งแต่ 3ขวบ (คลาสนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าไปนั่งเรียนด้วย) เรียนอยู่ 2 ปี ก็ย้ายมาเรียน Private Class แถวบ้านค่ะ (บ้านตรงข้ามเป็นคุณครูสอนเปียโน 😂)

สิ่งสำคัญของคลาสเปียโนคือ คุณครูจะขอให้ซ้อมที่บ้านด้วยอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ ถึงจะเรียนแล้วมีประสิทธิภาพ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรวางแผนการซื้อเปียโนไว้ด้วยค่ะ และมีฮัปเปียวไก หรือ การแสดงประจำปีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

ค่าใช้จ่าย
ค่าแรกเข้า : 5000-10000 เยน
ค่าเรียนรายเดือน : 8000-12000 เยน
ค่าเปียโน : 100000-300000 เยน
ค่าอุปกรณ์การเรียน : 10000 เยน
ค่าฮัปเปียวไก : 10000 เยน

4. เรียนติวเพื่อสอบเข้า (学習塾 gakushuu juku) 


เรียนติวได้รับความนิยมเป็นอันดับ4 ค่ะ จากคุณพ่อคุณแม่ที่อยากเพิ่มความเข้มข้นทางวิชาการให้ลูกๆ เพื่อสอบเข้าโรงเรียนเอกชน หรือ สาธิตมหาวิทยาลัยชื่อดัง มีตั้งแต่เรียนติวของวัยก่อนประถม และติวช่วงประถมเพื่อสอบเข้ามัธยมค่ะ ติวแนวฝึก Logic Thinking ก็มีนะคะ

ลูกแอดมินไม่ได้ไปเรียนติววิชาการเลยค่ะ เนอสเซอรี่ที่ไปก็เน้นเล่นมากกว่า ตอนนี้อ่านออกเขียนได้ (แบบสลับซ้ายขวา 😂) ในอนาคตคิดว่าถ้าจำเป็นก็คงต้องให้ไปเรียนค่ะ

ค่าใช้จ่าย
ค่าแรกเข้า : 20000-30000 เยน
ค่าเรียนรายเดือน : 36000-55000เยน
ค่าหนังสือ : 20000-50000 เยน
ค่าสอบวัดระดับ : 10000-100000เยน
ค่าติวพิเศษ: 100000-200000เยน

5. ยิมนาสติก ยืดหยุ่น (体育/体操 Tai iku/Taisou)


ยิมนาสติกได้รับความนิยมเป็นอันดับ5 ค่ะ เด็กๆจะได้ออกกำลังกาย ได้ฝึกการทรงตัว ได้ยืดเหยียดฝึกให้ร่างกายมีความยืดหยุ่น ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของการเล่นกีฬาหลายๆอย่างในอนาคตค่ะ

จากที่เคยให้ลูกสาวไปเรียนอยู่ 1 ปี เด็กๆ จะได้ฝึก 3 อย่างค่ะ คือ Mat(เสื่อ) , Bar(โหนบาร์) และ Tobibako(แท่นกระโดด) เรียนได้ตั้งแต่ 3-4ขวบค่ะ แต่ลูกสาวแอดมินอยากเรียนอย่างอื่น ก็เลยหยุดเรียนยิมนาสติกไปเรียนอย่างอื่นที่ชอบมากกว่าค่ะ

ค่าใช้จ่าย
ค่าแรกเข้า : 5000 เยน
ค่าเรียนรายเดือน : 5000-7000เยน
ค่าชุดฝึก : 5000เยน

6. ฟุตบอล (サッカー Soccer)


อันดับ6 คือกีฬายอดฮิตสำหรับเด็กผู้ชายค่ะ ฟุตบอลนั่นเอง คุณพ่อบางคนอย่างให้ลูกฝึกเพื่อมาเล่นฟุตบอลด้วยกันก็ให้ไปเรียน หรือเด็กๆมีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลก็จะไปเรียนค่ะ นอกจากเด็กๆจะได้เตะบอลแล้ว ก็ยังได้ฝึกความเป็นทีมเวิร์ค การสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีม

ที่บ้านไม่มีลูกชายค่ะ เลยยังไม่มีประสบการณ์ตรง แต่ถ้ามีลูกชายก็อยากให้ไปเรียนฟุตบอลค่ะ (ตอนนี้ส่งคุณพ่อบ้านไปเรียนฟุตบอลสำหรับผู้ใหญ่อยู่ 😂)

ค่าใช้จ่าย
ค่าแรกเข้า : 1000-3000 เยน
ค่าบำรุงรายปี: 1000-3000 เยน
ค่าเรียนรายเดือน : 2000-5000เยน
ค่าชุดฝึกและอุปกรณ์ : 5000-10000 เยน

7. คัดลายมือ เขียนพู่กัน(習字/書道 Shuuji/Shodou)


คุณพ่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่นหลายๆคนอยากให้ลูกมีสมาธิและเขียนตัวคันจิสวยๆ ก็จะให้ลูกไปเรียนคัดลายมือ หรือ เขียนพู่กันค่ะ แถมได้ฝึกมารยาทแบบญี่ปุ่น ท่านั่งหลังตรง มีบุคลิกภาพที่ดี และได้เรียนรู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นด้วย

อันนี้แอดมินไม่มีประสบการณ์โดยตรงค่ะ เลยให้ความเห็นเพิ่มเติมไม่ได้ แต่เวลาที่บริษัทมีจัดประกวดการเขียนพู่กัน พอเห็นคนเขียนได้สวย ก็รู้สึกว่าเท่ห์มากค่ะ ดูแบบ Cool เลย

ค่าใช้จ่าย
ค่าแรกเข้า : 1000-2000เยน
ค่าบำรุงรายปี : 5000-7000เยน
ค่าเรียนรายเดือน : 3000-5000เยน
ค่าชุดฝึกและอุปกรณ์ : 5000-10000 เยน

8. บัลเล่ต์(バレエ Ballet)


ติดอันดับเข้ามาในลำดับที่8 สำหรับการเต้นบัลเล่ต์ อีกหนึ่งคลาสเรียนยอดนิยมของเด็กผู้หญิงค่ะ นอกจากเด็กๆ จะได้ฝึกเต้นแล้ว ยังฝึกการฟังดนตรี ฝึกกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และก็ยังได้ฝึกบุคลิกภาพด้วย รวมไปถึงการฝึกการทรงตัว และยืดเหยียดให้ตัวอ่อนด้วยค่ะ

แต่ก็ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงในการฮัปเปียวไก หรือการแสดงประจำปีแต่ละครั้ง บางโรงเรียนจะจัดขึ้น 2 ปีครั้ง หรือ 1.5ปี ครั้งค่ะ

ลูกสาวแอดมินเรียนอยู่ค่ะ ขออยู่เป็นปีเลยกว่าคุณพ่อจะยอมให้หยุดเรียนยืดหยุ่นมาเรียนบัลเล่ต์แทน เริ่มเรียนตอนอายุ 5 ขวบค่ะ ตอนนี้ก็เรียนมาจะครบ 1 ปีแล้ว แต่มีโอกาสได้เข้าร่วมฮัปเปียวไก 1 ครั้งค่ะ นอกจากค่าใช้จ่ายแล้ว คุณแม่ต้องมีเวลาตามรับส่งช่วงซ้อมพอสมควรเลยค่ะ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ด้านล่างนะคะ



ค่าใช้จ่าย
ค่าแรกเข้า : 10000 เยน
ค่าเรียนรายเดือน : 7000-15000เยน
ค่าชุดฝึก : 5000-10000 เยน
ค่าฮัปเปียวไก : 80000-200000 เยน

9. เต้น (ダンス Dance) 


คลาสเรียนเต้นได้รับความนิยมขึ้นมามากเนื่องจากในปี 2012 มีการบรรจุวิชาเต้น ลงเป็นวิชาบังคับของเด็กๆ ม.1-ม.2 ค่ะ เด็กๆ จะได้สนุกไปกับการเต้นเข้าจังหวะไปกับเสียงเพลง ได้ออกกำลังกาย ร่างกายยืดหยุ่น มีบุคคลิกภาพที่ดีอีกด้วย

การเรียนเต้นก็มีฮัปเปียวไก หรือ การแสดงประจำปีเช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งคุณแม่คงต้องแบ่งเวลาไปติดตามเด็กๆซ้อมก่อนฮัปเปียวไกเช่นกัน

ค่าใช้จ่าย
ค่าแรกเข้า : 3000-5000เยน
ค่าเรียนรายเดือน : 5000-10000เยน
ค่าชุดฝึก : 5000 เยน
ค่าฮัปเปียวไก : 50000-80000 เยน

10. ดนตรีทั่วไป (リトミック/音楽教室 Rythm Ongaku kyoushitsu)

คลาสดนตรีทั่วไปก็เป็นคลาสที่คุณพ่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่นให้ลูกๆไปเรียนค่ะ เพราะเป็นพื้นฐานก่อนไปเรียนดนตรีจริงจัง ส่วนมากจะรับเด็กเล็กๆ คุณแม่ต้องเข้าไปนั่งเรียนด้วย ก็จะมีเพลงให้ร้องเล่นเต้น ลองดีดเปียโนนิดหน่อยๆ ฝึกให้น้องๆชินกับเสียงเพลง จับจังหวะรู้ตัวโน้ตค่ะ

เคยให้ลูกสาวเรียนอยู่ 2 คลาสค่ะ ตอนอายุ 3-4 ขวบ คุณแม่ต้องเข้าไปนั่งเรียนด้วย มีฮัปเปียวไก หรือ งานแสดงประจำปี ถ้าน้องเล็กมากคุณแม่ต้องขึ้นเวทีด้วยค่ะ

ค่าใช้จ่าย
ค่าแรกเข้า : 3000-5000 เยน
ค่าเรียนรายเดือน : 5000-7000เยน
ค่าหนังสืออุปกรณ์ : 1000-3000 เยน
ค่าฮัปเปียวไก : 5000-10000เยน

เป็นอย่างไรบ้างคะ กับข้อมูล 10 อันดับคลาสเรียนพิเศษที่คุณพ่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่นชอบ ตรงตามที่คิดไว้ไหมคะ? หวังว่าข้อมูลที่แอดมินรวบรวมมาจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มองหาคลาสเรียนที่ถูกใจให้เด็กๆได้นะคะ

ข้อคิดเล็กๆน้อยๆ
อย่างที่ได้เกริ่นไปด้านบน การเรียนพิเศษของเด็กๆ สำคัญมากๆที่ความต่อเนื่องค่ะ และสิ่งสำคัญที่จะให้เด็กๆเรียนต่อเนื่องได้ยาว คือใจรัก และสนุกกับสิ่งนั้นๆ ค่ะ ถ้าเด็กๆยังเล็ก Support จากคุณพ่อคุณแม่จำเป็นมากๆ ต้องตามไปรับส่งเฝ้า แอดมินแนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ให้เลือกคลาสเรียนที่ใกล้บ้านค่ะ จะได้ไม่เสียเวลาเดินทางและไม่เหนื่อยจนเกินไป ที่สำคัญลูกก็ยังมีเวลาเล่นได้อีกด้วย ก่อนที่จะสมัครเรียนให้ไปทดลองเรียนฟรีดูก่อนสักครั้งค่ะ ที่เรียกว่า 無料体験 muryoutaiken แล้วค่อยถามความสมัครใจของลูกค่ะ

ขอบคุณข้อมูล
https://venture-finance.jp/archives/18407




Post a Comment

0 Comments